หยดน้ำตาร่วงหล่นลงบนดินแห้งแตกระแหง เหมือนรอยแตกในหัวใจของนภัสสร หญิงสาววัย 42 ปี ที่คุกเข่าอยู่ท่ามกลางแปลงแตงโมที่เหี่ยวเฉา ใบเหลืองซีดกรอบแห้งราวกับความหวังที่กำลังจะสิ้น ผืนดินที่เคยให้ชีวิตบัดนี้กลับกลายเป็นคำสาปที่ไม่มีวันสิ้นสุด
“ลุกขึ้นเถอะแม่ พระอาทิตย์จะตกแล้ว” เสียงของลูกชายวัย 15 ปี ดังขึ้นเบาๆ ข้างหลัง มือบางของเขาแตะบ่าแม่อย่างอ่อนโยน
นภัสสรเช็ดน้ำตา พยายามฝืนยิ้มให้ลูกชาย แต่ริมฝีปากสั่นระริก “อีกสามเดือน ลูกจะเข้ามัธยมปลายแล้ว แม่ไม่รู้จะหาเงินค่าเทอมจากไหน”
เธอลูบใบแตงโมที่เหี่ยวแห้ง ความเจ็บปวดแล่นปราดในอก เก้าปีแล้วที่เธอต้องเลี้ยงลูกชายสองคนเพียงลำพังหลังสามีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ที่ดินผืนน้อยนิดริมแม่น้ำปิงในอำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ คือสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่
“ทำไมต้องเป็นแตงโมด้วย” นภัสสรพึมพำกับตัวเอง ย้อนคิดถึงวันที่ตัดสินใจปลูกแตงโม ตามคำแนะนำของเพื่อนบ้านว่าขายได้ราคาดี แต่เธอไม่เคยคิดว่าจะยากเย็นขนาดนี้
ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ผลผลิตไม่ได้อย่างที่หวัง บางปีแมลงศัตรูพืชระบาด บางปีน้ำท่วม บางปีภัยแล้ง แต่ปีนี้ช่างเลวร้ายที่สุด ความแห้งแล้งทำให้ดินขาดธาตุอาหาร แม้จะทุ่มเงินซื้อปุ๋ยราคาแพง แตงโมก็ไม่เติบโตเท่าที่ควร ผลเล็ก รสชาติจืดไร้ความหวาน พ่อค้าคนกลางกดราคา
“หนี้สินทั้งหมดสองแสนห้าหมื่นบาท” นภัสสรครุ่นคิด ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นทุกวันจากดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบ เธอขยี้ตาที่แสบร้อน เดินกลับบ้านไม้เก่าที่มุงหลังคาสังกะสีพร้อมลูกชาย
“แม่ไม่ต้องห่วงหนูหรอก” คำพูดของลูกชายคนโตในตอนเช้าทำให้หัวใจนภัสสรแทบสลาย “หนูไม่เรียนต่อก็ได้ จะช่วยแม่ทำงาน”
“ไม่ได้!” นภัสสรตวาดเสียงดัง น้ำตาไหลพราก “แม่สัญญากับพ่อของลูกไว้แล้ว ลูกต้องได้เรียน”
เธอกัดฟันกรอด คำว่า “ยอมแพ้” ไม่เคยมีในพจนานุกรมชีวิตของนภัสสร แต่ตอนนี้… ทุกอย่างดูมืดมนนัก
ค่ำวันนั้น นภัสสรนั่งเหม่อมองจดหมายแจ้งเตือนการชำระหนี้ใต้แสงตะเกียงน้ำมัน ไฟฟ้าถูกตัดไปเดือนที่แล้วเพราะค้างชำระค่าไฟ เธอได้ยินเสียงกระซิบของลูกชายทั้งสองที่นอนบนเสื่อในห้องข้างๆ
“พี่ว่าแม่จะทำยังไงต่อ” เสียงลูกคนเล็กถาม
“ไม่รู้… แต่พี่เป็นห่วงแม่จัง เมื่อวานพี่เห็นแม่แอบร้องไห้อีกแล้ว”
นภัสสรกำมือแน่น เธอจะไม่ยอมให้ลูกต้องมาเป็นห่วงเธอ “สวรรค์…” เธอภาวนา “ช่วยฉันด้วย”
“นภัสสร ไปงานประชุมเกษตรกรกับฉันไหม?” เสียงของป้าแจ่ม เพื่อนบ้านดังมาจากหน้าบ้าน “มีคนมาแนะนำวิธีปลูกพืชแบบใหม่ แถมมีของแจกด้วยนะ”
นภัสสรเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจ แต่คำว่า “ของแจก” ดึงดูดความสนใจ อย่างน้อยก็อาจได้อาหารฟรีสักมื้อ
งานประชุมนั้นจัดที่ศาลาประชาคมหมู่บ้าน มีเกษตรกรมารวมตัวกันราวสามสิบคน ทุกคนมีสีหน้าเหนื่อยล้าไม่ต่างจากเธอ วิทยากรหนุ่มกำลังอธิบายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชื่อว่า “นาวา”
“โปรตีนเปปไทด์ นี่ไม่ใช่ปุ๋ย ไม่ใช่ฮอร์โมน แต่เป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้พืชดูดซับธาตุอาหารได้ดีขึ้น” วิทยากรอธิบายอย่างกระตือรือร้น แต่นภัสสรแทบไม่ได้ฟัง เธอสงสัยว่าเมื่อไรจะถึงช่วงแจกอาหาร
“…วันเดอร์ฟูล วัคซีนพืช ช่วยฟื้นฟู ปรับสภาพให้กับพืช และวินโกรท ลมเบ่ง ช่วยเตรียมความพร้อม กระตุ้นการออกดอก ออกผล ต้องใช้คู่กันถึงจะเห็นผล ใช้แค่ 4 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นแค่ 3-4 ครั้งต่อรอบการปลูก”
นภัสสรกำลังจะลุกออกไป แต่ประโยคต่อมาทำให้เธอชะงัก
“ลดต้นทุนได้ถึง 40% เพิ่มผลผลิตได้ถึง 30% และที่สำคัญ…” วิทยากรหยุดชั่วครู่ “เราจะให้ผลิตภัณฑ์ทดลองฟรีกับเกษตรกรในพื้นที่นี้ หากไม่ได้ผล เราคืนเงิน 100%”
นภัสสรลังเล ฟังดูเหมือนคำโฆษณาหลอกลวงที่เธอเคยได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนี้เธอไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
เมื่อการประชุมจบลง นภัสสรเดินเข้าไปหาวิทยากร “ฉันอยากลองใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ แต่…” เธอกลืนน้ำลาย “ฉันไม่มีเงิน”
วิทยากรหนุ่มมองเธอด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ “คุณป้า เราให้ทดลองฟรีจริงๆ ครับ ชุดเล็ก พอสำหรับแปลงทดลอง 1 ไร่ หากได้ผลดี ค่อยมาซื้อชุดใหญ่ก็ได้ครับ”
นภัสสรรับขวดเล็กๆ สองขวดมา หนึ่งสีเหลือง หนึ่งสีเขียว ในใจคิดว่าอย่างน้อยก็เสียแค่เวลา
วันรุ่งขึ้น นภัสสรแบ่งแปลงแตงโมออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใช้วิธีการเดิม อีกส่วนทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มา เธอผสมน้ำยาตามคำแนะนำ ใจหนึ่งคิดว่าคงไร้ประโยชน์ แต่อีกใจก็หวังลมๆ แล้งๆ
สัปดาห์แรกผ่านไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
สัปดาห์ที่สอง นภัสสรสังเกตเห็นว่าแปลงที่ใช้ผลิตภัณฑ์เริ่มมีสีเขียวสดขึ้น ใบไม่เหลืองซีดเท่าแปลงควบคุม
สัปดาห์ที่สาม ความแตกต่างชัดเจน แปลงทดลองมีเถาแตงโมแข็งแรง ใบเขียวชุ่มชื้น เริ่มมีดอกตูมผลิบาน
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง” นภัสสรพึมพำ หยิบสมุดจดบันทึกขึ้นมา เธอเริ่มจดทุกอย่าง ปริมาณน้ำ ช่วงเวลาฉีดพ่น การเปลี่ยนแปลงทุกวัน
หนึ่งเดือนผ่านไป แตงโมในแปลงทดลองเริ่มติดผล เล็กๆ แต่แข็งแรง
สองเดือนผ่านไป ผลแตงโมขยายขนาด เปลือกเป็นมันวาว เถาและใบยังคงเขียวชอุ่ม ขณะที่แปลงควบคุมมีผลขนาดเล็กกว่ามาก บางส่วนเน่าเสีย
“แม่ แตงโมแปลงนั้นสวยจัง” ลูกชายคนเล็กร้องอย่างตื่นเต้น “เราจะขายได้เงินเยอะไหม?”
นภัสสรไม่กล้าหวังมากนัก แต่ความตื่นเต้นของลูกทำให้เธอรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง
วันเก็บเกี่ยวมาถึง นภัสสรไม่เชื่อสายตาตัวเอง แตงโมจากแปลงทดลองมีขนาดใหญ่สม่ำเสมอ ผลหนึ่งน้ำหนักเกือบ 7 กิโลกรัม เปลือกเป็นมันวาวสวยงาม
“ลองชิมดูซิ” นภัสสรผ่าแตงโมลูกหนึ่ง เนื้อสีแดงสด น้ำเยิ้ม
รสชาติหวานฉ่ำ กรอบ สดชื่น ไม่เหมือนแตงโมที่เธอเคยปลูกมาก่อน
“อร่อยที่สุดเลยแม่!” ลูกชายร้องอย่างตื่นเต้น
พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อถึงกับอึ้ง เขาเสนอราคาสูงกว่าปกติถึงสองเท่า
“คุณทำยังไงให้แตงโมสวยแบบนี้ ในสภาพดินแบบนี้?” พ่อค้าถามอย่างสงสัย
นภัสสรยิ้มน้อยๆ เล่าเรื่องผลิตภัณฑ์ที่เธอใช้ พ่อค้าสนใจมาก และแนะนำให้เธอขยายพื้นที่ปลูก เขาสัญญาว่าจะรับซื้อในราคาดีหากผลผลิตมีคุณภาพแบบนี้
เย็นวันนั้น นภัสสรนับเงินที่ได้ แม้จะไม่มากพอชำระหนี้ทั้งหมด แต่ก็พอจ่ายค่าเทอมลูกชายได้ พร้อมเงินเหลือซื้อผลิตภัณฑ์ “นาวา” ชุดใหญ่สำหรับแปลงทั้งหมด
หกเดือนต่อมา สวนแตงโมของนภัสสรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะเป็นผืนดินแห้งแตกระแหง บัดนี้กลายเป็นสวนเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยผลแตงโมลูกโตสีเขียวเข้มลายขาว
“แตงโมสวนนภัสสร” กลายเป็นที่รู้จักในตลาดท้องถิ่น ด้วยรสชาติหวานฉ่ำ เนื้อแน่น สีแดงสด น้ำเยิ้ม
พ่อค้าหลายรายแข่งกันมารับซื้อ นภัสสรเริ่มทำแบรนด์ติดสติกเกอร์ “แตงโมนภัสสร – หวานฉ่ำจากสวนเรา” แตงโมของเธอขายได้ราคาสูงกว่าท้องตลาดถึง 30%
เธอเริ่มใช้หนี้ทีละก้อน จนหมดภาระหนี้สินนอกระบบ ไฟฟ้าในบ้านกลับมาสว่างอีกครั้ง ลูกชายทั้งสองมีแรงใจเรียนหนังสือ
นภัสสรเริ่มถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน
“ความลับไม่ได้อยู่ที่ปุ๋ย หรือยาฆ่าแมลงราคาแพง” เธอบอกกับเพื่อนเกษตรกร “แต่อยู่ที่การช่วยให้พืชดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้นต่างหาก”
เธออธิบายถึงการใช้ วันเดอร์ฟูล วัคซีนพืช คู่กับ วินโกรท ลมเบ่ง ในสัดส่วนที่เหมาะสม “ราคาชุดละ 780 บาท อาจดูแพง แต่ประหยัดกว่าซื้อปุ๋ยและยาฆ่าแมลงหลายอย่างรวมกัน แล้วยังลดการใช้สารเคมีอีกด้วย”
วันนี้ สามปีหลังจากวันที่นภัสสรเคยคุกเข่าร้องไห้ในแปลงแตงโมเหี่ยวเฉา เธอยืนอยู่ในสวนแตงโมเขียวชอุ่ม ท่ามกลางผลผลิตสมบูรณ์
บ้านไม้หลังเก่าได้รับการซ่อมแซม มีรถกระบะมือสองจอดอยู่หน้าบ้าน ลูกชายคนโตเรียนจบมัธยมปลาย กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะเกษตรศาสตร์ ลูกชายคนเล็กเรียนดีขึ้นมาก
“แม่ ป้าแจ่มมาหาครับ” ลูกชายเรียก
ป้าแจ่มเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “นภัสสร มีคนจากบริษัทนาวามาที่หมู่บ้าน เขาอยากคุยกับเธอ”
ชายหนุ่มในชุดสูทเดินตามหลังป้าแจ่มเข้ามา “คุณนภัสสรใช่ไหมครับ? ผมได้ยินเรื่องความสำเร็จของคุณ อยากเชิญคุณเป็นเกษตรกรตัวอย่างของเรา ช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ให้เกษตรกรรายอื่นๆ ได้ไหมครับ?”
นภัสสรยืนนิ่ง น้ำตาคลอ แต่คราวนี้เป็นน้ำตาแห่งความสุข เธอมองไปรอบๆ สวนแตงโมของเธอ ดินที่เคยแห้งแตกระแหงบัดนี้อุดมสมบูรณ์ ชีวิตที่เคยสิ้นหวังบัดนี้เต็มไปด้วยโอกาส
“สวนนภัสสร” ไม่ใช่แค่แปลงแตงโมอีกต่อไป แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความพยายาม และการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
“ได้ค่ะ” นภัสสรตอบพร้อมรอยยิ้ม “ดิฉันยินดีช่วย เพราะดิฉันรู้ดีว่าความสิ้นหวังเป็นอย่างไร และรู้ด้วยว่าการได้พบทางออกใหม่ จะเปลี่ยนชีวิตคนได้มากแค่ไหน”
เธอก้มลงแตะผืนดินที่เคยแห้งแล้ง บัดนี้ชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ เหมือนหัวใจของเธอที่เคยแห้งผากด้วยความทุกข์ บัดนี้เปี่ยมล้นด้วยความหวังและความสุข
จากหยดน้ำตาบนดินแห้ง สู่รอยยิ้มในสวนเขียวขจี นี่คือเรื่องราวของนภัสสร เกษตรกรผู้ไม่ยอมแพ้ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อเธอพบหนทางใหม่ที่เหมาะสม
แตงโมสวนนภัสสรยังคงออกผลดกงาม แต่ผลผลิตที่เธอภูมิใจที่สุดคือรอยยิ้มและความสุขที่กลับคืนมาสู่ครอบครัวของเธออีกครั้ง